สันติภาพไม่ใช่แค่คำสวย ๆ แต่ว่าทุกคนมีส่วนร่วมได้

“สันติภาพไม่ใช่แค่คำสวย ๆ แต่ว่าทุกคนมีส่วนร่วมได้”

วันสันติภาพสากล 21 กันยายน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล

21 กันยายนของทุกปีคือ วันสันติภาพสากล (International Day of Peace) ซึ่งสหประชาชาติก่อตั้งขึ้นเพื่อย้ำเตือนให้สังคมโลกตระหนักถึงคุณค่าของสันติภาพ แต่สันติภาพที่แท้จริงไม่ใช่เพียงการไร้ซึ่งเสียงปืนแต่คือการสร้างสังคมที่ผู้คนเข้าใจและเคารพในความแตกต่าง ซึ่งในบริบทความขัดแย้งชายแดนใต้ที่ดำเนินมากว่า 2 ทศวรรษ แนวคิดนี้ยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง

เนื่องในโอกาสนี้ เราจะพาย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของ “วารสารศาสตร์สันติภาพ” (Peace Journalism) ในสังคมไทย ผ่านมุมมองของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล อาจารย์ประจำสาขานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันแนวคิดนี้ เพื่อทบทวนเรื่องราวจากอิฐก้อนแรกที่วางรากฐาน ณ ที่แห่งนี้ สู่การแตกหน่อออกผลเพื่อสร้างความเข้าใจในสังคมไทย

จริง ๆ เริ่มแรกมัน คือ วันหยุดยิง และหยุดความรุนแรงทั่วโลก” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล อธิบายถึงความหมายของวันสำคัญนี้ “สันติภาพไม่ใช่แค่คำสวย ๆ ไม่ใช่แค่คำที่เป็นอุดมคติ แต่ว่าทุกคนมีส่วนร่วมได้นะ ทุกคนควรจะมีส่วนร่วม

พันธกิจร่วมกันนี้เองที่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของคณะวิทยาการสื่อสาร ในฐานะ “คนสอนสื่อ” ว่าจะเข้ามามีส่วนร่วมในการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2547 ได้อย่างไรบ้าง

คำถามนั้นนำไปสู่การแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ทางด้านวารสารศาสตร์ และบ่มเพาะแนวคิด “วารสารศาสตร์สันติภาพ” (Peace Journalism) จนกลายเป็นอัตลักษณ์สำคัญของคณะวิทยาการสื่อสาร สถาบันการศึกษาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของความขัดแย้งรุนแรง ซึ่งที่ผ่านมาได้เป็นที่ยอมรับว่าสันติภาพนั้นสามารถเริ่มต้นสร้างได้จากการทำงานและหัวใจที่เปิดกว้างของนักวารสารศาสตร์ทุกคน

ณ จุดเริ่มต้น เมื่อสื่อ (อาจ) กำลังสาดน้ำมันเข้ากองไฟ

“ตอนนั้นมีคนวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อมวลชนค่อนข้างมาก ว่าเป็นการรายงานที่อาจจะรายงานเฉพาะความรุนแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้ชายแดนใต้เหมือนเป็นแผ่นดินที่ลุกไปด้วยไฟ” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วลักษณ์กมล เริ่มต้นเล่าถึงบรรยากาศในช่วงปี 2547 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งรุนแรงที่ยืดเยื้อยาวนานมาจนกระทั่งปัจจุบันที่กินเวลามากกว่า 20 ปีมาแล้ว

เหตุการณ์ความรุนแรงที่ทวีความเข้มข้นขึ้น ส่งผลให้ข่าวสารที่ถูกนำเสนอสู่สังคมส่วนใหญ่เน้นไปที่ภาพความสูญเสีย การปะทะ และการตีตรา ยิ่งตอกลิ่มความแตกแยกให้ลึกลงไปอีก ในฐานะสถาบันการศึกษาด้านการสื่อสารที่ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่ดังกล่าว คณะวิทยาการสื่อสาร จึงพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการคลี่คลายความขัดแย้งโดยมุ่งเน้นไปที่บทบาทของการสื่อสารที่ในขณะนั้นสื่อมวลชนกระแสหลักยังคงมีอิทธิพลสูงต่อการสร้างการรับรู้ของประชาชนทั่วประเทศเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ตอนนั้นคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้ริเริ่มที่จะเสนอโครงการให้สถาบันการศึกษาและนักวิจัย ทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของบทบาทสื่อในสถานการณ์ความรุนแรงและความขัดแย้ง แล้ว ม.อ. ปัตตานีของเราเอง โดยคณะวิทยาการสื่อสารในตอนนั้น เราอยู่ในพื้นที่ก็ต้องทำอะไรบางอย่างด้วย

ความคิดริเริ่มนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่โครงการวิจัยชิ้นสำคัญของคณะวิทยาการสื่อสารภายใต้การนำของ รองศาสตราจารย์อิ่มจิต เลิศพงษ์สมบัติ คณบดีคณะวิทยาการสื่อสารในขณะนั้น ได้ร่วมกันทำวิจัยภายใต้ชุดโครงการ “สาร สื่อ สู่สันติ: เทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์เพื่อสันติสุขของชาติ” ที่มีนักวิจัยหลายท่านที่เป็นคณาจารย์ในคณะวิทยาการสื่อสารร่วมกันดำเนินการ

นี่เป็นจุดเริ่มต้นเลยค่ะที่ทำให้ตัวเองก็ได้เข้าไปศึกษาเรื่องของการสื่อสารหรือว่าวารสารศาสตร์สันติภาพ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่พอเราเข้าไปสืบค้นข้อมูลแล้วได้เจอคำว่า Peace Journalism ในปี 2547” ซึ่งแนวคิดวารสารศาสตร์สันติภาพนั้นเริ่มต้นมาจากศาสตราจารย์ ดร.โยฮัน กัลตุง (Johan Galtung) บิดาแห่งสันติวิธีศึกษา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่ได้ปฏิเสธการรายงานข่าวความรุนแรง แต่เสนอให้สื่อมวลชนมองความขัดแย้งอย่างรอบด้านและลึกซึ้งกว่าเดิม

ในปี 2547 พอเราเริ่มทำวิจัยเรื่องนี้กัน เราก็ใส่แนวคิดเรื่องนี้เข้าไปในงานวิจัย ใช้กรอบแนวคิดมาพัฒนาว่า ถ้าเราจะวิพากษ์วิจารณ์สื่อ เราควรจะต้องวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีกรอบความรู้ด้วยว่าเราต้องการให้ไปถึงสันติภาพ” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วลักษณ์กมล อธิบายและว่าแก่นสำคัญคือการเปลี่ยนมุมมองจากการรายงานที่เน้นเพียงใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ไปสู่การตั้งคำถามที่ลึกกว่านั้น คือ รากของปัญหาความขัดแย้งรุนแรงคืออะไร ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่ายเป็นอย่างไร และมีหนทางแก้ไขที่เป็นไปได้หรือไม่

เราอยากจะสื่อสารว่า ไม่ใช่ทุกอณูพื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้เต็มไปด้วยระเบิด เสียงปืน และควันไฟ เราอยากให้รู้ว่าที่นี่มันก็ยังมีพื้นที่บางส่วนที่ปลอดภัย ที่คนก็ทำมาหากินตามปกติ และบทบาทของสื่อจะต้องสะท้อนในทุก ๆ มิติเหล่านี้” ความพยายามนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงในแวดวงวิชาการ แต่ถูกถ่ายทอดสู่ห้องเรียนด้วย เพื่อหล่อหลอมนักศึกษานิเทศศาสตร์รุ่นแล้วรุ่นเล่าให้กลายเป็นนักสื่อสารที่มี “ความไหวรู้ต่อความขัดแย้ง” (Conflict Sensitivity) และ “ความแวดไวทางวัฒนธรรม” (Cultural Sensitivity) ดังเช่นการกำหนดให้มีรายวิชาที่นักนิเทศศาสตร์ต้องเรียน เริ่มตั้งแต่วิชาพื้นฐานทั่วไปอย่างวิชาการรู้เท่าทันสื่อและการใช้ประโยชน์จากสื่อ และพัฒนามาเป็นวิชาการสื่อสาร

ดิจิทัลเพื่อความเป็นพลเมืองตื่นรู้ วิชาการสื่อข่าวเพื่อสันติภาพและคลี่คลายความขัดแย้ง (Peace and Conflict Resolution Journalism) วิชาการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม เป็นต้น

ความไหวรู้ต่อความขัดแย้งก็คือว่า เราเข้าใจว่าความขัดแย้งอันนี้มันเกี่ยวข้องอะไรยังไงบ้าง เรารู้ เราเข้าใจ และเราระมัดระวังที่จะไม่ให้การสื่อสารของเราทำให้เกิดความขัดแย้งยิ่งขึ้น

จากห้องเรียนสู่สังคมและจากสังคมสู่ห้องเรียน

คำกล่าวของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วลักษณ์กมล สะท้อนถึงพันธกิจที่คณะวิทยาการสื่อสารยึดมั่นมาโดยตลอด ของการอยู่ในพื้นที่ทำให้พวกนักศึกษาด้านการสื่อสารและสื่อมวลชนที่รายงานข่าวความขัดแย้งได้เข้าใจความซับซ้อนของปัญหาที่มากกว่าเรื่องความมั่นคง แต่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย

องค์ความรู้เหล่านี้ยังถูกนำมาใช้ในการทำงานร่วมกับชุมชนอย่างต่อเนื่อง “เราอยากให้ชุมชนสื่อสารเรื่องตัวเองได้ อยากให้ชุมชนสามารถเล่าเรื่องของตัวเองแล้วสร้างมูลค่าเพิ่มได้ด้วยตัวเอง นี่คือสิ่งที่ทุก ๆ สาขาของคณะวิทยาการสื่อสารทำมาโดยตลอด

นักศึกษาของคณะวิทยาการสื่อสาร จึงไม่ได้เรียนรู้แค่ทฤษฎีในตำรา แต่ได้ลงมือปฏิบัติผ่านโครงการต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับประเด็นในพื้นที่จริง ทำให้พวกเขามีเครือข่ายและความเข้าใจชุมชนอย่างลึกซึ้ง จนกลายเป็นคุณสมบัติเด่นที่ติดตัวบัณฑิตทุกคน

มันก็เป็นจุดที่ว่า ถ้า ม.อ. ปัตตานีไม่ทำ แล้วใครจะทำ เพราะเราอยู่ในพื้นที่ ถ้าเราอยากจะทำให้สื่อมีบทบาท การสื่อสารมีบทบาทในการคลี่คลายปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถ้าคนภายนอกทำก็ถือว่าดีมาก ๆ แต่ว่า ม.อ. ปัตตานีไม่ทำไม่ได้

จุดเริ่มต้นจากคำถามเล็ก ๆ ในวันนั้น ได้นำมาสู่การสร้างอัตลักษณ์ที่ชัดเจนของคณะวิทยาการสื่อสาร ในฐานะผู้บุกเบิกและขับเคลื่อนแนวคิดวารสารศาสตร์สันติภาพในสังคมไทย สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ในดินแดนที่หลายคนมีมายาคติว่าเป็นพื้นที่อันตรายและน่ากลัว แต่การสื่อสารที่เปี่ยมด้วยความเข้าใจก็สามารถคลี่คลายภาพจำเหล่านั้นลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ที่อิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์ได้ก้าวเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างการรับรู้ที่คานงัดกับสื่อกระแสหลักในอดีต ศิษย์เก่าของคณะวิทยาการสื่อสารจำนวนไม่น้อยได้นำความรู้ดังกล่าวมาใช้ในการนำเสนอเรื่องราวที่เป็น “ซอฟท์พาวเวอร์” ของพื้นที่สู่ผู้คนทั่วประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน ช่วยเปลี่ยนภาพจำจากความน่ากลัวให้กลายเป็นเมืองที่มีสิ่งดี ๆ มากมาย รอให้ทุกคนได้มาสัมผัสด้วยตนเอง

รู้จักผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล อดีตคณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร (2555-2560)
จบการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขา Peace Journalism จาก School of Journalism and Communication, University of Queensland ประเทศ Australia มีความเชี่ยวชาญด้านการสื่อข่าวเพื่อสันติภาพ (Peace journalism) วารสารศาสตร์ (Journalism) จริยธรรมการสื่อสารมวลชน (Journalism Ethics) การเขียนข่าวและรายงานข่าว (News Writing and Reporting) มีผลงานแปลหนังสือการสื่อข่าวที่ไหวรู้ต่อความขัดแย้ง (Conflict Sensitive Journalism : A Handbook) ที่เขียนโดย Ross Howard มีส่วนร่วมในการเขียนหนังสือ เรื่อง จริยธรรมสื่อ: หลักแนวคิด ทฤษฎี และกรณีศึกษา ในหัวข้อ “การจริยธรรมสื่อในสถานการณ์ความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพ” จัดพิมพ์โดยสถาบันอิศรา รวมถึงผลงานวิจัยด้านการสื่อสาร สื่อทางเลือก ดิจิทัล ความขัดแย้ง และสันติภาพ

Social Share