จาก Blowin’ in the Wind ถึง Forever Young คุณูปการของ นอร์เบิร์ต โรเปอร์ส ต่อการสื่อสารสาธารณะ และการสื่อสารเพื่อสันติภาพ

สมัชชา นิลปัทม์
ศูนย์ศึกษาและพัฒนาการสื่อสารสันติภาพ คณะวิทยาการสื่อสาร

ดร.นอร์เบิร์ต โรเปอร์ส  (Dr. Norbert Ropers) คือหนึ่งในนักปฏิบัติการสันติภาพที่สำคัญในระดับสากล ผู้เลือกชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเป็นพื้นที่ปฏิบัติการในช่วงทศวรรษสุดท้ายของชีวิต เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์กรสนับสนุนสันติภาพเบิร์กฮอฟ (Berghof Peace Support – BPS) ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 อีกทั้งยังเคยเป็นผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยเบิร์กฮอฟเพื่อการจัดการความขัดแย้งที่สร้างสรรค์ (Berghof Research Center for Constructive Conflict Management) ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น ศูนย์วิจัยความขัดแย้งเบิร์กฮอฟ (Berghof Conflict Research – BCR) อันเป็นองค์กรพี่น้องของ BPS เขายังดำรงตำแหน่งเป็นประธานเครือข่ายทรัพยากรเพื่อการศึกษาความขัดแย้งและการแปรเปลี่ยนความขัดแย้ง (Resource Network for Conflict Studies and Transformation – RNCST) ในศรีลังกา ระหว่างปี พ.ศ. 2544–2551

            บทความนี้มุ่งตั้งข้อสังเกต วิเคราะห์ และสะท้อนย้อนคิด (reflexive) เกี่ยวกับมิติของ การสื่อสารสาธารณะ และการสื่อสารเพื่อสันติภาพ ผ่านประสบการณ์และความทรงจำร่วมที่ผู้เขียนมีต่อชีวิต และงานของเขา

(1)

บ๊อบ ดีแลน, น้ำท่วมใหญ่ และแผ่นซีดีในห้องสูท

ฤดูน้ำหลากกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2554 ห้องสูทขนาดกลางบนอาคารย่านสุขุมวิท ซึ่งแต่เดิมเป็นที่พักชั่วคราว ได้ถูกดัดแปลงเป็นพื้นที่ทำงานขนาดย่อมสำหรับจัดเวิร์กชอปฝึกอบรมทีมงานสันติภาพรุ่นใหม่ เวิร์กชอปดังกล่าวกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “เวทีสร้างสันติภาพจากคนใน” (Insider Peacebuilder Platform – IPP) ซึ่งในเวลาต่อมา ซึ่งได้เติบโต พัฒนาจนเป็นเวทีสำคัญของการขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพจากฐานรากในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

คนหนุ่มสองคนเดินทางพร้อมทีมจากชายแดนใต้ พวกเขายังไม่รู้ตัวว่าถูกวางตัวให้เป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกของวงในเวลาต่อมา หนอนหนังสือตื่นตาตื่นใจกับชั้นหนังสือว่าด้วยการสร้างสันติภาพความขัดแย้งจากทั่วโลก ข้าวของทุกอย่างจัดวางอย่างระเบียบ สมุดโน้ตการประชุมและบันทึกภาคสนาม จัดเข้าแฟ้มทำดัชนีอย่างมีระบบ ติดกับชั้นหนังสือมีทีวีจอใหญ่พร้อมเครื่องเล่นดีวีดี และเครื่องเสียงชั้นดี บนชั้นเก็บแผ่นซีดีบันทึกบทเพลง เขาสองคนเดาว่า บนชั้นคงจะมีแต่เพลงคลาสสิคที่มีประพันธกรชาวเยอรมัน และยุโรป แต่กลับไม่ใช่เพราะในชั้นนั้นกลับเต็มไปด้วยบทเพลงของยุคบุปผาชนและวงร็อกคลาสสิกของยุค 1970

ชายหนุ่มสะดุดตาแผ่นรวมเพลงของ Bob Dylan นักร้องนักแต่งเพลงชาวอเมริกันผู้มีบทบาทในขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองและต่อต้านสงครามเวียดนาม พลางบอกกับเพื่อนว่าเขาอยากฟังเพลง “Blowin’ in the Wind” (1962) พลันเตลิดไปว่าเจ้าของห้อง อาจได้รับแรงบันดาลใจในวัยหนุ่มจากบทเพลงนี้เช่นกัน

แต่ยังไม่ทันได้เปิดเพลงฟัง พวกเขาถูกเรียกกลับไปนั่งประชุม ปรึกษาหารืออย่างคร่ำเคร่งต่อเนื่องร่วม 8 ชั่วโมง บนโต๊ะใกล้ๆ กับซีดีแผ่นนั้น โดยหลงลืมอีกเพลงสำคัญในอัลบั้มนั้น

(2)

วัยเยาว์และแรงบันดาลใจ

แม้เราจะมีโอกาสร่วมงานกับ ดร.นอร์เบิร์ต โรเปอร์ส  มายาวนาน แต่กระนั้นเรากลับไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวในห้วงต้นของชีวิตเขาอย่างลึกซึ้งนัก เราอาจแลกเปลี่ยนกันบ้างในบางโอกาส แต่ก็มิใช่ประเด็นที่ใครสักคนจะเอ่ยปากถาม หรือที่เขาเองจะเปิดเผยเรื่องส่วนตัวโดยง่าย กระทั่งวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ในวาระงานปาฐกถาพิเศษ “หนึ่งทศวรรษของกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้ / ปาตานี” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นการอำลาแก่เขาก่อนเดินทางกลับประเทศเยอรมนี และยังเป็นช่วงเวลาแห่งการอำลาครั้งสุดท้ายของชีวิตต่อมวลมิตรจากชายแดนภาคใต้ เขาจึงถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตในวัยเยาว์ให้พวกเราฟังอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก

โรเปอร์ส เกิดในปี ค.ศ. 1944 หนึ่งปีก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะสิ้นสุดลง ณ เมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี เขาเติบโตในครอบครัวนักการเมืองฝ่ายซ้าย ซึ่งต่อต้านลัทธินาซีอย่างแข็งขัน พ่อของเขาถูกจองจำเป็นเวลานานถึง 7 ปี และถูกทรมานจนดวงตาได้รับความเสียหายถาวร ภายหลังสงครามสิ้นสุดลง บิดาของเขาได้รับการปล่อยตัว และหันไปประกอบธุรกิจส่วนตัว โดยก่อตั้งบริษัทที่มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเมืองช่วงหลังสงคราม แต่ก็ต้องมาจบชีวิตลงจากอุบัติเหตุรถบรรทุกชน ซึ่งเหตุจากปัญหาการมองเห็นไม่ถนัด อันเป็นผลสืบเนื่องจากการถูกซ้อมทรมานในระหว่างการคุมขัง

มารดาของเขาเป็นนักการเมืองเช่นกัน และได้สืบทอดอุดมการณ์จากผู้เป็นสามี พร้อมปลูกฝังให้บุตรชายปฏิเสธสงครามทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการใช้อำนาจรุนแรงในทางการเมือง โรเปอร์สเล่าว่าเมื่อเขาอายุ 16 ปี ได้เข้าร่วมขบวนการต่อต้านการเกณฑ์ทหารในเยอรมนี ด้วยการกระทำอารยะขัดขืน (civil disobedience) แม้จะต้องเผชิญโทษจำคุก แต่เขากลับยืนยันว่าเป็นประสบการณ์สำคัญที่นำไปสู่การผลักดันนโยบายให้มีทางเลือกในการ “ทำงานรับใช้สาธารณะแทนการเกณฑ์ทหาร” ซึ่งต่อมาได้ถูกยอมรับและบัญญัติไว้ในข้อกำหนดรัฐ

เขายังมีบทบาทสำคัญในขบวนการต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ (anti-nuclear weapons movement) และร่วมมือกับองค์กรผู้หญิงในการให้การดูแลและฟื้นฟูผู้พิการที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม กิจกรรมเหล่านี้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้เขาตัดสินใจเดินบนเส้นทางของ “การป้องกันไม่ให้สงครามเกิดขึ้นซ้ำ”

หลังสำเร็จการศึกษาด้านรัฐศาสตร์ ด้วยแรงปรารถนาจะเป็นนักการเมืองเหมือนบิดาและมารดา เขากระโจนลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ผลที่ออกมากลับพ่ายแพ้ จึงหันไปทำงานในฐานะ “ตัวกลางเชื่อมโยง” ระหว่างเยอรมนีตะวันตกกับตะวันออก โดยลักลอบเดินทางเข้าสู่ฝั่งตะวันออกเพื่อศึกษาโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และการเคลื่อนย้ายของประชากรระหว่างสองฟากฝั่งของยุโรป เขาค้นพบความเหลื่อมล้ำในหลากหลายมิติ และเริ่มทำงานร่วมกับโครงการที่มีเป้าหมายในการลดช่องว่างดังกล่าว ผ่านการส่งเสริมความเท่าเทียมและความยุติธรรมเชิงโครงสร้าง

แน่นอนว่าในช่วงเวลาดังกล่าว เขาทำงานในฐานะ “แอคทิวิสต์” (activist) อย่างเต็มตัว

เมื่อกำแพงเบอร์ลินล่มสลายในปี ค.ศ. 1989 และสงครามเย็นสิ้นสุดลง โรเปอร์สตัดสินใจเข้าร่วมงานกับมูลนิธิเบอร์กฮอฟ (Berghof Foundation) ในกรุงเบอร์ลิน พร้อมเปลี่ยนบทบาทจากนักเคลื่อนไหวมาเป็นผู้ปฏิบัติการสันติภาพในระดับสากล เขามีส่วนสำคัญในการออกแบบโครงการที่เชื่อมโยงอดีตสหภาพโซเวียตกับประเทศตะวันตกเพื่อลดแรงเสียดทานในระดับภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนส่งเสริมกระบวนการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยในประเทศเกิดใหม่

นอกเหนือจากยุโรป เขายังมีบทบาทเชิงลึกในเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศพม่าและศรีลังกา เขาเข้าทำงานในฐานะผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขององค์กร Berghof Peace Support และเป็นหนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการสันติภาพระหว่างชาวสิงหลกับชาวทมิฬในศรีลังกา แต่เมื่อสงครามกลางเมืองในศรีลังกาสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของรัฐบาลราชปักษาเหนือกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ (LTTE) เขาถูกมองว่าเป็น “บุคคลภายนอกที่มีแนวคิดไม่สอดคล้องกับรัฐ” และถูกขับออกจากประเทศในที่สุด อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมูลนิธิเบอร์กฮอฟยังคงแนบแน่น จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต

(3)

Frankfurt School และการปฏิวัติโดยนักศึกษา (1968 Student Movements)

            ดร.นอร์เบิร์ต โรเปอร์ส  ดูเหมือนจะเข้าใจดีว่าผู้เขียนมีภูมิหลังมาจากสายงานการสื่อสารมวลชน และมีความสนใจด้านวัฒนธรรมการสื่อสารในฐานะทุนเดิม ในหลายช่วงเวลานอกวงเสวนาหรือการประชุมงานวิจัย เราจึงมักพูดคุยกันเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงานสันติภาพโดยตรง หนึ่งในบทสนทนาที่พาเราย้อนคุยกันเรื่องเกี่ยวกับ “สำนักแฟรงค์เฟิร์ต” (Frankfurt School) อันเป็นต้นธารของแนวคิด “ทฤษฎีวิพากษ์” (Critical Theory) ที่เขาเองเคยซึมซับมาในช่วงชีวิตที่เคยเป็นนักศึกษา

เขาเล่าถึงช่วงเวลาที่ได้มีโอกาสฟังคำบรรยายของนักทฤษฎีร่วมสมัยที่ทรงอิทธิพลในยุคนั้น ทั้งผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ และบางท่านที่เสียชีวิตไปแล้ว เช่น แม็กซ์ ฮอร์คไฮเมอร์ (Max Horkheimer), เฮอร์เบิร์ต มาร์คูเซอ (Herbert Marcuse), ธีโอดอร์ อดอร์โน (Theodor W. Adorno) และเจอร์เก็น ฮาเบอร์มาส (Jürgen Habermas) ซึ่งเขายอมรับว่า สองคนหลังมีอิทธิพลต่อกรอบคิดของเขาอย่างยิ่ง

            เขายังเล่าถึงบรรยากาศในมหาวิทยาลัยของเยอรมนีช่วงทศวรรษ 1960 ว่าเต็มไปด้วยพลังแห่งการตั้งคำถามต่อโครงสร้างสังคม การอ่านงานทฤษฎีฝ่ายซ้ายเป็นเรื่องปกติ และกิจกรรม “กลุ่มศึกษา” (study groups) หรือ “teach-in” ที่ล้อมาจากคำว่า sit-in ก็เป็นวิธีการเรียนรู้สำคัญโดยเฉพาะการจัดกลุ่มอ่านหนังสือ Das Kapital ของคาร์ล มาร์กซ์ในทุกเล่ม ซึ่งกลายเป็นประสบการณ์เชิงทฤษฎีอันเข้มข้นที่หล่อหลอมเขาในฐานะปัญญาชนผู้ไม่แยก “ทฤษฎี” ออกจาก “การปฏิบัติ”

ในบทสนทนาครั้งหนึ่ง เราไล่เรียงกันไปถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่มีผลกระทบต่อเขาอย่างมากนั่นคือ ขบวนการนักศึกษาปี 1968 (1968 Student Movements) ที่ลุกฮือขึ้นทั่วยุโรปเพื่อเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง ในเยอรมนี เพราะแม้ว่าลัทธินาซีจะพ่ายแพ้สงครามไปแล้ว แต่กลไกและวัฒนธรรมของระบอบอำนาจเดิมยังตกค้างอยู่ในระบบราชการ การศึกษา และชีวิตสาธารณะโดยรวม ขบวนการนักศึกษาเยอรมันในยุคนั้นใช้เครื่องมือทางวัฒนธรรมอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์ กราฟฟิตี การอ่านแถลงการณ์ทางการเมืองกลางถนน และบทเพลงที่กลายเป็นสื่อปลุกเร้า เช่น เพลงโฟล์กและร็อกของ Bob Dylan หรือ The Beatles ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเสียงเรียกร้องเพื่อการเปลี่ยนแปลง

            โรเปอร์ส  เล่าว่า การ “ยึด” อาคารเรียนเพื่อจัดเวทีอภิปราย การต่อต้านระบบอนุรักษนิยม รวมถึงการรณรงค์ให้ “ยกเลิกการใช้ครุยวิทยฐานะในพิธีรับปริญญา” เป็นประเด็นสำคัญที่ถูกผลักดันในหลายมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะที่ไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg), ฮัมบวร์ก (Hamburg) และเบอร์ลิน (Berlin) ซึ่งถือเป็นฐานที่มั่นของขบวนการในเวลานั้น ผลจากการเคลื่อนไหวที่กินเวลาต่อเนื่องตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1960 ทำให้ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970 มหาวิทยาลัยในเยอรมนีจำนวนมากเลิกใช้ครุยในพิธีทางการ จึงถือเป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ของขบวนการนักศึกษาในการปฏิเสธลำดับชนชั้นและพิธีกรรมทางอำนาจแบบเดิม

“ถ้าย้อนเวลาได้… เรื่องครุยผมคงไม่เรียกร้องขนาดนั้นหรอก” เขากล่าวติดตลกระหว่างการเดินทางด้วยกันครั้งหนึ่ง หลังจากดื่มกันเล็กน้อยในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยบทสนทนา โดยเรายังคุยกันถึงความแตกต่างของวัฒนธรรมในสถาบันอุดมศึกษาระหว่าง “มหาวิทยาลัยเทคนิค” (Technische Hochschulen – TH) กับ “มหาวิทยาลัยด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์” ในเยอรมนี ซึ่งเขาเปรียบเทียบอย่างขำขันว่า สิ่งที่เหมือนกันแน่นอนระหว่างสองกลุ่มนี้ รวมถึงมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีในประเทศไทย  คือ “คอแข็ง” และ “ดื่มจัด” พอกันทั้งนั้น

(4)

ชายแดนใต้ / ปาตานี

“สมัยเรียน ผมฟังเลกเชอร์ของฮาเบอร์มาสไม่รู้เรื่องเลย…”

ดร.นอร์เบิร์ต โรเปอร์ส เคยเปรยเรื่องนี้กับ ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ระหว่างการถกเถียงกันอย่างออกรสในประเด็นทฤษฎี โดยเฉพาะแนวคิดของ “เจอร์เก็น ฮาเบอร์มาส” (Jürgen Habermas) นักปรัชญาสังคมระดับโลกผู้ทรงอิทธิพลในวงวิชาการเยอรมัน และเป็นหนึ่งในเสาหลักของ Frankfurt School เรื่องติดตลกนี้คงไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ฮาเบอร์มาสเขียน แต่หมายถึง ลีลาการพูดของนักปรัชญาผู้นี้ มีน้ำเสียงแผ่วเบาแต่มีเอกลักษณ์ และมีความพิการของริมฝีปากเล็กน้อย (ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี, personal communication, 2561)

            อย่างไรก็ดี ความชื่นชอบที่ศรีสมภพมีต่อ ฮาเบอร์มาส ได้กลายมาเป็นสะพานเชื่อมสำคัญระหว่างเขาและศรีสมภพในเวลาต่อมา เพราะหลังจากจำใจต้องยุติบทบาทในศรีลังกา ภายใต้บริบททางการเมืองที่ไม่เอื้อต่อการทำงานของผู้ปฏิบัติการสันติภาพจากภายนอก โรเปอร์สได้หันมาให้ความสนใจอย่างจริงจังกับชายแดนใต้ของประเทศไทย ซึ่งเขาติดตามข่าวสารมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว เนื่องจากเห็นจุดร่วมหลายประการ โดยเฉพาะลักษณะของความขัดแย้งเชิงชาติพันธุ์ การถูกทำให้เป็นชายขอบ และการตอบสนองจากรัฐที่มักขาดความเข้าใจเชิงวัฒนธรรม

            เครือข่ายงานของ ดร.ศรีสมภพ ในฐานะนักวิชาการที่มีบทบาทในพื้นที่และมีมุมมองที่หลากหลาย กลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่โรเปอร์สเฝ้าติดตาม กระทั่งในปี พ.ศ. 2554 ทั้งสองได้นัดพบกันที่สนามบินหาดใหญ่ เป็นการพบกันเพียงช่วงสั้น ๆ แต่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ดำเนินมายาวนาน สิ่งที่ทำให้การร่วมงานระหว่างโรเปอร์สกับทีมของศรีสมภพราบรื่นอย่างยิ่ง คือความคิดที่ตรงกันในเรื่อง “พื้นที่กลาง” หรือ “Common Ground” ซึ่งขณะนั้น ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch – DSW) ก็เริ่มผลักดันแนวคิดนี้อยู่เช่นกัน โดยมองว่า “พื้นที่กลาง” คือพื้นที่ที่เปิดให้ทุกฝ่ายสามารถสื่อสาร แลกเปลี่ยน และร่วมกันกำหนดอนาคตของพื้นที่อย่างเท่าเทียม

            ความสัมพันธ์นี้พัฒนาต่อเนื่องเป็นอย่างดี เมื่อโรเปอร์สตอบรับตำแหน่ง “นักวิจัยอาวุโส” (Senior Research Fellow) ประจำ สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ (Center for Conflict Studies and Cultural Diversity – CSCD) ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา อีกทั้งยังรับหน้าที่เป็น อาจารย์พิเศษ ให้กับ สถาบันสันติศึกษา (Institute of Peace Studies – IPS) ซึ่งเปิดสอนระดับบัณฑิตศึกษา ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่

            บทบาทของเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่การบรรยายหรือวิจัยเท่านั้น แต่ยังลงลึกถึงการออกแบบกระบวนการสร้างสันติภาพ การพัฒนาองค์ความรู้ร่วมกับนักวิชาการในพื้นที่ ตลอดจนสนับสนุนเวทีที่หลากหลายให้ภาคประชาสังคมมีบทบาทมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ความร่วมมือระหว่าง IPS, CSCD และ DSW ในช่วงปี พ.ศ. 2554–2558 จึงแน่นแฟ้นเป็นพิเศษ และกลายเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนากลไกสันติภาพในพื้นที่ชายแดนใต้ ทั้งในเชิงโครงสร้าง ความรู้ และการปฏิบัติการจริงในพื้นที่ (ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ใน ฟารีดา ปันจอร์, 2558, น. 8-23)

(5)

ฮาเบอร์มาส และการสื่อสารสาธารณะ

            แม้ว่า ดร.นอร์เบิร์ต โรเปอร์ส จะไม่เคยเอ่ยอย่างชัดเจนว่าแนวคิดของเจอร์เก็น ฮาเบอร์มาส (Jürgen Habermas) มีอิทธิพลต่อเขาในระดับใด แต่หากพิจารณาจากแนวทางการใช้ชีวิตของเขา การออกแบบงาน ความเอาจริงเอาจังต่อการลงมือปฏิบัติ การเชื่อในประชาธิปไตย ความเท่าเทียม และการให้เกียรติผู้ร่วมงานทุกระดับ  ก็พอที่จะกล่าวได้ว่า แนวคิดของฮาเบอร์มาสได้แทรกอยู่ในวิธีคิดและวิธีปฏิบัติของเขามาโดยตลอด

            หนึ่งในหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของเขาต่อแนวคิดของฮาเบอร์มาส คือการบรรยายสาธารณะในหัวข้อ “Jurgen Habermas: The Structural Transformation of the Public Sphere” ในงาน วันสื่อทางเลือก ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555 ณ คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งจัดโดย College of Deep South Watch หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โรงเรียนวิชาการเมือง” ของ “ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้”

การบรรยายดังกล่าวไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความคุ้นเคยของเขากับงานทฤษฎีระดับสูงเท่านั้น หากยังชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการ ถ่ายทอดแนวคิดเชิงนามธรรม ให้สัมพันธ์กับสภาพความเป็นจริงของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างชัดเจนและจับต้องได้ จึงพอสรุปประเด็นสำคัญจากการบรรยายของโรเปอร์ส มีอยู่ 7 ประการดังนี้:

  1. พื้นที่สาธารณะคือหัวใจของประชาธิปไตย โรเปอร์สยืนยันตามแนวทางของฮาเบอร์มาสว่า “พื้นที่สาธารณะ” (public sphere) คือองค์ประกอบหลักของสังคมประชาธิปไตย เป็นเวทีที่ประชาชนสามารถสื่อสาร ถกเถียง และแสดงความเห็นอย่างเสรี โดยปราศจากการครอบงำจากรัฐหรือทุน อย่างไรก็ดี “…โรเปอร์สย้ำว่า ‘พื้นที่สาธารณะ’ ที่ดี ไม่จำเป็นต้องจบลงด้วย ‘ฉันทามติแบบสมบูรณ์’ แต่สามารถใช้ ‘ฉันทามติแบบพอเพียง’ (sufficient consensus) ที่ทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้ แม้จะยังมีจุดต่างอยู่บ้างก็ตาม…”
  2. สื่อทางเลือก = พื้นที่สาธารณะแบบใหม่ เขามองว่าสื่อทางเลือก โดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือรูปธรรมของ “พื้นที่สาธารณะร่วมสมัย” ซึ่งเปิดโอกาสให้เสียงของ “คนชายขอบ” ได้รับการรับฟัง และมีส่วนร่วมในการกำหนดวาระสาธารณะอย่างแท้จริง
  3. สื่อกระแสหลักไม่ตอบโจทย์ “ประชาธิปไตยแบมีส่วนร่วม” โรเปอร์สวิจารณ์ว่าสื่อกระแสหลักจำนวนมากอยู่ภายใต้อิทธิพลของทุนหรือรัฐ และเมื่อสื่อเปลี่ยนบทบาทจาก “สื่อการเมือง” (Political Press) ไปเป็น “สื่อเชิงพาณิชย์” (Commercial Press) ซึ่งทำให้สื่อไม่สามารถเป็นกลไกประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป (ตามบริบทใน ศตวรรษ 15)
  4. การฟื้นคืนพื้นที่สาธารณะ ต้องอาศัย “การกระทำเชิงการสื่อสาร” เขาย้ำว่า “พื้นที่สาธารณะ” จะมีชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อมี communication actions ที่เกิดจากการสื่อสารเชิงเหตุผลระหว่างบุคคลในฐานะที่เท่าเทียม เช่น การอภิปราย การตั้งคำถาม และการร่วมสร้างวาทกรรมที่ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจทางศาสนา หรือโครงสร้างอำนาจใด ๆ
  5. สื่อใหม่ (Social Media) ไม่ใช่ภัย แต่คือโอกาส แม้จะมีข้อกังวลว่าสื่อใหม่ทำให้พื้นที่สาธารณะกระจัดกระจาย แต่โรเปอร์สกลับมองว่า Social Media เสริมสร้างการมีส่วนร่วม โดยเฉพาะในพื้นที่เปราะบาง เช่น ชายแดนใต้ ที่ซึ่งคนธรรมดาได้มีช่องทางในการแสดงออก สื่อสาร และเชื่อมโยงกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
  6. พื้นที่สาธารณะต้อง “เชื่อมต่อ” ไม่ใช่ “แบ่งแยก” โรเปอร์สเสนอว่า พื้นที่สาธารณะควรเป็น “พื้นที่กลาง” ที่สามารถก้าวข้ามความแตกต่างทางศาสนา ภาษา วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ เพื่อสร้าง “มวลวิกฤติ” (critical mass) ที่เข้มแข็งพอจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างได้จริง
  7. พื้นที่สาธารณะในชายแดนใต้ = เครื่องมือสื่อสารเพื่อสันติภาพ สำหรับโรเปอร์ส สื่อทางเลือกไม่ใช่เพียงเครื่องมือส่งข่าวสาร แต่เป็น “กลไกทางสังคม” ที่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้งและความรุนแรง ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการออกแบบอนาคตร่วมกัน และปลดปล่อยตนเองจากการครอบงำของรัฐและโครงสร้างอำนาจแบบเดิม

            แม้ข้อเสนอของโรเปอร์สในวันนั้นจะฟังดูเป็น “อุดมคติ” และบริบทในปัจจุบันอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง โดยเฉพาะในยุคที่ “ข่าวปลอม” (fake news) และวาทกรรมเกลียดชังกลายเป็นภัยคุกคามใหม่ต่อประชาธิปไตยในการสื่อสาร แต่หากเขายังอยู่ — เขาคงหัวเราะเบา ๆ และตอบว่า “ของแบบนี้…ถกเถียงกันได้” และท้ายที่สุด ในการปษฐกถาครั้งนั้น เขาย้ำประโยคอมตะของฮาเบอร์มาส ที่สะท้อนทั้งความเชื่อในเสรีภาพและความเท่าเทียมของเขาอย่างชัดเจนที่สุดว่า (อารีด้า สาเม๊าะ และ ฐิตินบ โกมลนิมิ. ใน ฟารีดา ปันจอร์, 2558, น. 235-248)

“No one is free, until we are all free”

“ไม่มีใครเป็นอิสระ จนกว่าเราทุกคนจะเป็นอิสระ”

(6)

สื่อทางเลือก การสื่อสาร และพื้นที่สาธารณะ

            การมาถึงของ ดร.นอร์เบิร์ต โรเปอร์ส ในพื้นที่ชายแดนใต้ของไทย เกิดขึ้นในห้วงเวลาเดียวกันกับปรากฏการณ์ที่สำคัญยิ่งในภาคสนามด้านการสื่อสารนั่นคือ “การขยายตัวของสื่อทางเลือก” ซึ่งเป็นกระแสที่กำลังเติบโต โดยเฉพาะในพื้นที่สื่อกระแสหลักไม่อาจสะท้อนความจริงได้อย่างรอบด้าน

            ในบริบทชายแดนใต้ สื่อทางเลือกมิใช่เพียง “พื้นที่ข่าว” หากแต่ทำหน้าที่เป็นเวทีของ “เสียงจากชายขอบ” ที่ถูกปิดกั้นหรือเบียดขับออกไปจากวาระสาธารณะหลัก โรเปอร์สมองเห็นและเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างลึกซึ้ง จากสายตาของนักสันติภาพผู้มีภูมิหลังด้านสังคมศาสตร์ เขาติดตามการพัฒนาของสื่อเหล่านี้อย่างใกล้ชิด มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ และให้การสนับสนุนเชิงวิชาการมาโดยตลอด

            ในอีกด้านหนึ่ง โรเปอร์สเองก็มีบทบาทสำคัญในการยกระดับขบวนการสื่อสารเหล่านี้ไปสู่ระดับ “พื้นที่วิชาการ” ที่เป็นระบบมากขึ้น ต้องยอมรับว่าเขาเป็นหนึ่งในกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ผลักดันให้เกิดการจัดประชุมวิชาการนานาชาติที่ปัตตานีได้สำเร็จ ในช่วงเวลาที่หลายฝ่ายมองว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ยังคุกรุ่น โดยสามารถผลักดันให้เกิดการประชุมวิชาการนานาชาติทั้ง 2 ครั้ง คือ:

  • International Conference on Communication, Conflicts and Peace Processes: Landscape of Knowledge from Asia and the Deep South of Thailand” – (CCPP) วันที่ 21–22 สิงหาคม พ.ศ. 2557
  • “Political Transition, Non-violence and Communication in Conflict Transformation” – (PNC 2017) วันที่ 24–26 มกราคม พ.ศ. 2560

            โดยงานประชุมทั้งสองครั้งจัดขึ้นที่คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี งานประชุมระดับนานาชาตินี้ได้กลับกลายเป็น “พื้นที่สื่อสาร” ที่เต็มไปด้วยความหวัง ความรู้ และพลังของภาคประชาสังคมช่วยกันสร้างความร่วมไม้ร่วมมืออีกด้วย

            หนึ่งในองค์ปาฐกสำคัญที่โรเปอร์สเชิญมาเข้าร่วมงาน CCPP คือ ซันจานา หัตโถธุวะ (Sanjana Hattotuwa) นักวิจัยอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายสื่อของศูนย์ศึกษานโยบายทางเลือก ประเทศศรีลังกา ซันจานาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะนักเคลื่อนไหวด้าน สื่อภาคพลเมือง (citizen media) และ เทคโนโลยีเพื่อสันติภาพ (ICT4Peace) เขายังเป็นผู้ก่อตั้งโครงการ ICT4Peace และเป็นหนึ่งในนักออกแบบระบบนิเวศสื่อร่วมสมัยในพื้นที่ความขัดแย้ง

            ในการปาฐกถาของเขา ซันจานาย้ำว่า “การสื่อสารไม่สามารถแยกออกจากกระบวนการสันติภาพได้” ถ้อยคำนี้ตรงกับความเชื่อของโรเปอร์สโดยตรง และยิ่งตอกย้ำว่าการเปิดพื้นที่ให้พลเมืองธรรมดาได้สื่อสาร สะท้อนตน และสร้างวาทกรรมของตนเองนั้น คือกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสังคมจากความขัดแย้งสู่สันติภาพ

(8)

Forever Young

            ดร.นอร์เบิร์ต โรเปอร์ส จากไปอย่างสงบในวันที่ 29 มิถุนายน 2568 ไม่กี่สัปดาห์ถัดมาในวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2568เวลา 11.00 น. (เวลาท้องถิ่นในประเทศเยอรมนี) หรือ 16.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย พิธีไว้อาลัยถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความหมาย ณ Haus der Zeit เมืองอาห์เรนส์บวร์ก ใกล้กับเมืองฮัมบวร์ก สถานที่ที่เขาเคยเติบโต และเริ่มต้นชีวิตแห่งการใฝ่หาสันติภาพ

ในพิธีดังกล่าว ครอบครัว เพื่อนร่วมงานจาก Berghof Foundation, Peace Resource Center (PRC) รวมถึงผู้แทนจากประชาคมวิชาการในศรีลังกาและประเทศไทยผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ร่วมกันรำลึกถึงชายผู้ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับ “การแปรเปลี่ยนความขัดแย้ง” อย่างสง่างาม โดยเฉพาะการสร้างพื้นที่สาธารณะในบริบทเปราะบาง ด้วยวิธีการสื่อสารที่เคารพมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

             เมื่อคำไว้อาลัยสุดท้ายสิ้นลง เสียงเพลง Forever Young ของ Bob Dylan ค่อย ๆ ลอยขึ้นในห้องพิธี

ชายหนุ่มคนเดิมซึ่งวันนี้ล่วงวัยเข้าสู่วัยกลางคน รู้สึกทึ่งเกินคาดเดา พลันนึกย้อนถึงซีดีแผ่นนั้นในห้องพักย่านสุขุมวิทเมื่อหลายปีก่อน ภาพบทเพลง Blowin’ in the Wind ที่ยังไม่เคยได้เปิดฟัง และอีกหนึ่งบทเพลงในอัลบั้มเดียวกัน –Forever Young– ที่ครั้งนั้นเขาไม่ทันได้ใส่ใจ กลับมาดังก้องในวาระสุดท้ายของชีวิตผู้จากไป

นี่อาจเป็นทั้งโอวาท และคำสั่งลาจากเขาตราบอนันตกาล

… May you grow up to be righteous                      ขอให้เธอเติบโตขึ้นอย่างเที่ยงธรรม

May you grow up to be true                                ขอให้เธอเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ

May you always know the truth                           ขอให้เธอได้รู้จักความจริง

And see the lights surrounding you                       และมองเห็นแสงสว่างรอบตัวเธอ

May you always be courageous                            ขอให้เธอมีความกล้าหาญเสมอ

Stand upright and be strong                                 ยืนหยัดมั่นคงและเข้มแข็ง

May you stay forever young !!!                              ขอให้เธอเยาว์วัยตลอดไป …

…………………….

อ้างอิง

ฟารีดา ปันจอร์. (2558) คู่มือกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้/ ปาตานี “เราจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร?” รวมแนวคิดของ ดร.นอร์เบิร์ต โรเปอร์ส. โครงการจัดพิมพ์ดีพบุ๊คส์

ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี. นักวิชาการสันติภาพเยอรมันกับการสานฝันสันติภาพให้เป็นจริง. ใน ฟารีดา ปันจอร์. (2558) คู่มือกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้/ ปาตานี “เราจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร?” รวมแนวคิดของ ดร.นอร์เบิร์ต โรเปอร์ส. โครงการจัดพิมพ์ดีพบุ๊คส์

อารีด้า สาเม๊าะ และ ฐิตินบ โกมลนิมิ. การสร้างพื้นที่สาธารณะเพื่อหาทางออกของความรุนแรง : ความหวัง บทบาทสื่อทางเลือกชายแดนใต้. ใน ฟารีดา ปันจอร์. (2558) คู่มือกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้/ ปาตานี “เราจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร?” รวมแนวคิดของ ดร.นอร์เบิร์ต โรเปอร์ส. โครงการจัดพิมพ์ดีพบุ๊คส์

ภาพประกอบ

แหลมพรหมเทพ ภูเก็ต ในงานอบรม Training of Trainer (TOT) ให้กับประชาสังคมชายแดนใต้ ในภาพคือทีมอำนวยความสะดวกชุดแรกๆ

พิธีไว้อาลัย ณ Haus der Zeit เมืองอาห์เรนส์บวร์ก

โบกมือลา … การพบเจอกันครั้งสุดท้าย ภาพโดย ฐิตินบ โกมลนิมิ

PSU Lecturer Lab for Peace and Conflict Studies (PCS) / 8 September 2014 / ภาพโดย บุษบง ชัยเจริญวัฒนะ

การสรุปผลของวง IPP ยุคแรกๆ ณ ห้องทำงานเก่า CSCD วิทยาลัยอิสลามศึกษา

สิงห์มอเตอร์ไซค์ ภาพโดย จุฬารัตน์ ดำรงวิถีธรรม

Social Share