
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 คณาจารย์และเจ้าหน้าที่จากคณะวิทยาการสื่อสาร สำนักส่งเสริมและบริการวิชาการ และสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้ลงพื้นที่ ณ ที่ทำการวิสาหกิจชุมชนกลุ่มจักสานกระจูดบ้านโคกพะยอม ต.เกาะสะบ้า อ.เทพา จ.สงขลา เพื่อประชุมหารือร่วมกับผู้นำชุมชนและแกนนำกลุ่มฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความต้องการของสมาชิกและวางแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์กระจูดให้สอดคล้องกับตลาด ทั้งในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ การสร้างแบรนด์ การตลาด และการส่งเสริมศักยภาพของกลุ่มให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

นางแพรว สูสมแก้ว ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มจักสานกระจูดตำบลเกาะสะบ้า เล่าถึงที่มาของกลุ่มว่า ชุมชนแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ป่าพรุขนาดใหญ่กว่า 5,000 ไร่ ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบต้นกระจูดตามธรรมชาติ ทำให้ชาวบ้านมีความผูกพันและใช้ประโยชน์จากกระจูดเพื่อการจักสานมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ โดยเฉพาะการทำเสื่อ จากพื้นฐานดังกล่าวจึงได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็น “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มจักสานกระจูดตำบลเกาะสะบ้า” ขึ้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2564 โดยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากหลายหน่วยงาน ทั้งหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่และสถาบันการศึกษา
ปัจจุบัน สมาชิกกลุ่มส่วนใหญ่เป็นผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะ กระเป๋าถือ ที่มีรูปแบบและลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์หลากหลายลาย เช่น ลายสองแทรกใบลาน ลายดอกแก้ว และลายสไบ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กและเสื่อกระจูด ซึ่งงานแต่ละชิ้นจะสะท้อนถึงฝีมือและความชำนาญเฉพาะตัวของผู้สานแต่ละคน ทำให้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมีความพิเศษและแตกต่างไม่ซ้ำใคร

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภีรกาญจน์ ไค่นุ่นนา คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร ได้สรุปจุดแข็งของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มจักสานกระจูดบ้านโคกพะยอมว่า กลุ่มมีข้อได้เปรียบที่สำคัญคือ การเป็นแหล่งวัตถุดิบกระจูดขนาดใหญ่ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ นอกจากนี้ โครงสร้างภายในกลุ่มยังมีความเข้มแข็ง ด้วยคณะกรรมการและสมาชิกที่เหนียวแน่น มีการบริหารจัดการที่ชัดเจน และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ที่สำคัญที่สุดคือ สมาชิกมีทักษะความรู้เชิงช่างฝีมือที่ฝังลึกอยู่ในตัว (Tacit Knowledge) ซึ่งพร้อมจะถ่ายทอดออกมาเป็นองค์ความรู้ที่ชัดเจนเพื่อการพัฒนาต่อไป
สำหรับความต้องการของกลุ่มเพื่อการพัฒนาในอนาคต สามารถแบ่งออกได้ 5 ด้านหลัก ได้แก่ 1) ความรู้จากภายนอก เพื่อการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยตามแฟชั่น 2) อุปกรณ์และสถานที่ เช่น การพัฒนาพื้นที่ให้เป็นทั้งแหล่งผลิตและแหล่งเรียนรู้ รวมถึงการจัดหาเครื่องจักรอุตสาหกรรม 3) การพัฒนาคน ให้มีทักษะด้านการตลาดและมีความมั่นใจในการสื่อสารกับลูกค้า 4) การต่อยอดทรัพยากร สู่ผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่นเพื่อลดเศษวัสดุเหลือทิ้ง และ 5) การสร้างแบรนด์ เพื่อสร้างอัตลักษณ์ที่ชัดเจนและเป็นที่จดจำ

“สำหรับขั้นตอนต่อไป ทั้ง 3 หน่วยงานจาก ม.อ. ปัตตานี จะนำข้อมูลที่ได้รวบรวมทั้งหมดมาวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อจัดทำเป็นแผนพัฒนาระยะต่างๆ จากนั้นจะนำแผนดังกล่าวกลับมาเสนอต่อกลุ่มสมาชิกอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางการพัฒนานั้นสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง” คณบดีคณะวิทยาการสื่อสารกล่าวและเสริมว่า
คณะวิทยาการสื่อสารยังตั้งเป้าหมายเพิ่มเติมที่จะพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ พื้นที่วิจัย และศูนย์บริการวิชาการ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับคณาจารย์และนักศึกษาของคณะโดยตรง










